สัญญาณอันตราย เมื่อกินอาหารที่มี ฟอร์มาลิน มากเกินไป


ฟอร์มาลิน (Formalin) หรือสารละลายฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) มีสูตรเคมีว่า CH2O คนทั่วไปรู้จักกันว่าเป็นสารที่ใช้สำหรับดองศพเพื่อไม่ให้ศพเน่าเปื่อย ใช้ฆ่าเชื้อโรค ฆ่าเชื้อรา และทำความสะอาดห้องคนป่วย ลักษณะทั่วไปของฟอร์มาลินเป็นสารละลายใส ไม่มีสี มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว เป็นสารรีดิวซ์รุนแรง เมื่อสัมผัสกับอากาศจะถูกออกซิไดส์ช้า ๆ ไปเป็นกรดฟอร์มิกซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อน

ฟอร์มาลินเป็นสารที่นิยมใช้กันในหลายด้าน ในด้านการแพทย์ เพื่อคงสภาพของเนื้อเยื่อไม่ให้เน่าเสีย ใช้ฆ่าเชื้อโรคในเครื่องมือต่าง ๆ  

ในการทำเครื่องสำอางจะใช้สารฟอร์มาลินในยาสีฟัน ยาบ้วนปาก สบู่ ครีมโกนหนวดเพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยใช้เป็นส่วนประกอบในความเข้มข้นที่ต่ำมาก ใช้ในน้ำยาดับกลิ่นตัว ใช้เป็นส่วนประกอบของแชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น  

ในด้านอุตสาหกรรม ฟอร์มาลินทำให้ผ้าและกระดาษแข็งเกาะกัน จึงนำมาใช้ในการทำบอร์ดหรือไม้อัด อุตสาหกรรมสิ่งทอใช้ผลิตสารที่ใช้เปลี่ยนแปลงลักษณะน้ำหนักและความแข็งแรงของไหมสังเคราะห์ รักษาผ้าไม่ให้ยับหรือย่น ในอุตสาหกรรมกระดาษ ใช้เพื่อให้กระดาษลื่นและกันน้ำได้  เป็นต้น

ส่วนในด้านการเกษตรใช้สารฟอร์มาลินทำลายและป้องกันจุลินทรีย์ที่ทำให้ต้นไม้เป็นโรค ใช้เก็บรักษาและป้องกันผลิตผลเกษตรจากการเสียหายระหว่างการขนส่ง  ใช้ฆ่าเชื้อราในดิน ใช้เป็นส่วนผสมของสารละลายที่ใช้เคลือบผัก ผลไม้จำพวกส้มระหว่างการเก็บเกี่ยวเพื่อชะลอการเน่าเสีย  เป็นต้น  

พ่อค้า แม่ค้า นิยมนำฟอร์มาลินมาแช่ผัก เนื้อสัตว์ และอาหารทะเลสด เพื่อทำให้อาหารต่างๆ สดอยู่ได้นานไม่เน่าเสียเร็ว แต่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค

การใช้งานบนโลกออนไลน์มากเกินไป ส่งผลอย่างไรกับตัวเรา


ผลสำรวจจาก BBC Future 2018 ระบุว่า จำนวนชั่วโมงการใช้งานบนโลกออนไลน์มากเกินไป ไม่สามารถชี้วัดเป็นตัวเลขได้ เนื่องจาก ผลที่ได้แตกต่างกันในแต่ละบุคคล การใช้งาน 2-3 ชั่วโมงต่อวันอาจมากสำหรับบางคน แต่อาจเป็นเรื่องปกติของคนที่ต้องใช้งานออนไลน์ตลอดทั้งวัน

ในยุคดิจิทัลนี้ ไม่แปลกที่หลายๆ คนใช้เวลามากมายไปกับโลกออนไลน์ ทั้งใช้หาข้อมูล เล่นโซเชียลมีเดีย หรือดูหนังฟังเพลงต่างๆ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าเราเริ่มท่องเที่ยวไปกับโลก ออนไลน์มากเกินไป ถ้าคุณมีสัญญาณจากร่างกาย อารมณ์ และสังคมเหล่านี้ ดังนั้นคำว่ามากเกินไปจึงพิจารณาจากผลเสียที่เกิดขึ้น เช่น ปัญหาที่เกิดกับร่างกายด้านต่าง ๆ หรือปัญหาต่ออารมณ์และกระบวนการคิด ร่างกาย จิตใจ และ สังคม

    ร่างกาย

  •     ตาล้า / ตาแห้ง จากการใช้สายตาในการเพ่งมองหน้าจอมากเกินไป นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดปัญหาตาแห้งเป็นต้อลม และนัยน์ตาแพ้แสงได้ รวมถึงปัญหาสายตาสั้นในเด็ก
  •     ปวดหัว เพราะเพ่งมองหน้าจอมากเกินไป จนกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสตึงเครียด ที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสในส่วนต่าง ๆ จนนำไปสู่อาการปวดศีรษะ รวมถึงกระตุ้นการเกิดโรคไมเกรน
  •     ปวดคอและหลัง เพราะนั่งในท่าทางเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งอาจลามไปถึงปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง และการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณลำคอและไหล่
  •     นิ้วล็อก จากการใช้งานนิ้วหัวแม่มือ หรือข้อมือในลักษณะซ้ำเดิมมากเกินไป ส่งผลให้เส้นเอ็นทับเส้นประสาท ข้อมือ ซึ่งจะทำให้มีอาการมือชาและนิ้วล็อก
  •     นอนไม่หลับ จากแสงสีฟ้าจากหน้าจอที่ส่งออกมา จะขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนเมลาโทนินที่เปรียบเหมือนนาฬิกาชีวภาพ ทั้งยังกระตุ้นให้ร่างกายเข้าใจว่าเป็นเวลาของการตื่นนอน ผลที่ตามมาจึงทำให้เกิดอาการนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจ โรคปอด โรคไต หรือแม้แต่ปัญหาด้านการควบคุมน้ำหนัก

ผมหงอก ปัญหาใหญ่ของคนที่ไม่อยากแก่

 ผมหงอก

หลายคนมักคิดว่า ผมหงอก เป็นสัญลักษณ์ของความแก่ แต่จริงๆ แล้วผมหงอกไม่ได้เป็นตัวตัดสินถึงการมีอายุที่มากหรือถึงคราวที่ชีวิตเข้าสู่ความแก่เสมอไป เพราะบางคนมีอายุเพียงแค่ 20 ก็เริ่มมีผมหงอกขึ้นแล้ว ดังนั้นสำหรับคนที่มีปัญหาผมหงอกขึ้นในช่วงวัยรุ่นหรือวัยที่เพิ่งเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ต้องรู้แล้วว่าสาเหตุใดที่ทำให้มีผมหงอกก่อนเวลา รวมทั้งมีวิธีรักษาผมหงอกในวัยรุ่นและวัยทำงานได้อย่างไรบ้าง

สาเหตุของ ผมหงอกก่อนวัย สาเหตุที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันก็คือ ความเครียด และการทำงานหนักเกินไป แต่จริง ๆ แล้วผมหงอกก่อนวัยเกิดได้จากหลายปัจจัยมาก ๆ ทั้งกรรมพันธุ์ ความผิดปกติในร่างกาย การเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคโลหิตจาง โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ ซึ่งผมหงอกจากกรรมพันธุ์และโรคจะไม่สามารถกลับมาดำเหมือนเดิมได้อีก นอกจากจะย้อมผมเท่านั้น นอกจากสาเหตุทางการแพทย์แล้ว เมื่อร่างกายตกใจหรือเสียใจอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ร้ายแรง ก็จะทำให้รากผมชะงักการเจริญเติบโตได้ การรับประทานยาแก้อักเสบ รวมถึงการขาดโปรตีน และวิตามินบี 12 การดื่มแอลกอฮอล์หนัก ๆ และการสูบบุหรี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่อาจทำให้คุณมีโอกาสที่จะผมหงอกไวกว่าคนไม่สูบบุหรี่ถึง 4 เท่า

นอกจากนี้ยังมีสารเคมีรุนแรง เช่น สาร SLS ซึ่งเป็นสารช่วยทำความสะอาดที่อยู่ในแชมพู สารเคมีจากการทำผม วิธีป้องกันและรักษาผมหงอกก่อนวัย เนื่องจากยังไม่มีการค้นพบอาหารหรือยาชนิดพิเศษที่รักษาได้โดยตรง อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ผมหงอกก่อนวัยที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์และโรค ยังสามารถกลับมาดำเหมือนเดิมได้อยู่

ดังนั้นเราจึงต้องลดสิ่งที่จะไปกระตุ้นให้เกิดผมหงอกไวขึ้น เช่น ลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ งดสูบบุหรี่ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และอาจเน้นสารอาหารที่บำรุงเส้นผมอย่างโปรตีน วิตามินเอ บี และแร่ธาตุต่าง ๆ รวมถึงการออกกำลังกายด้วย แต่ถ้าไม่ทันใจจริง ๆ ก็ต้องแก้ปัญหาด้วยการย้อมผมปิดผมหงอกเลยจ้า ซึ่งก็ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพและอ่อนโยนต่อหนังศีรษะที่บอบบางของเราด้วย

ยาคุมกำเนิด ทานให้ถูกวิธี เรื่องจริงที่ผู้หญิงต้องรู้

ยาคุมกำเนิด

ยาคุมกำเนิด (Birth control pill) เป็นวิธีคุมกำเนิดที่บรรจุฮอร์โมนเพศหญิง คือ เอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เพื่อออกฤทธิ์ต่อการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ยับยั้งการตกไข่ หากรับประทานยาถูกวิธีจะทำให้สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ แต่มีคนไม่น้อยที่มีความเชื่อผิด ๆ รับประทานยาคุมกำเนิดที่ผิดวิธี ซึ่งอาจนำมาถึงปัญหาการตั้งครรภ์ได้ 

ยาคุมกำเนิด แบบเม็ดแบ่งตามชนิดฮอร์โมนได้ 2 ประเภท คือ ฮอร์โมนเดี่ยวและฮอร์โมนรวม ประเภทฮอร์โมนเดี่ยว มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียว มีฤทธิ์คุมกำเนิดสูง ส่วนประเภทฮอร์โมนรวม ประกอบด้วยทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในปริมาณและชนิดที่ต่างกัน ยิ่งปริมาณของฮอร์โมนมากยิ่งคุมกำเนิดได้ดี แต่ผลข้างเคียงจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ถ้ามีปริมาณของฮอร์โมนน้อย การคุมกำเนิดก็น้อยลงและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าด้วยเช่นกัน
 

นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งประเภทตามจำนวนเม็ดได้อีกเช่นกัน คือ แบบ 21 เม็ด และแบบ 28 เม็ด โดยแบบ 21 เม็ดจะต้องกินแล้วเว้นไป 7 วันจึงจะสามาระเริ่มแผงใหม่ได้ ส่วนแบบ 28 เม็ด จะมีตัวยาจริงเพียง 21 เม็ด และมีเม็ดแป้งอีก 7 เม็ด เหมาะสำหรับคนที่กลัวจะนับวันผิด จึงควรกินต่อกันจนหมดแผงได้เลย แต่ไม่ว่าจะกินแบบใดก็ได้ผลในการคุมกำเนิดเท่ากัน
 

ยาคุมกำเนิดที่วางขายในปัจจุบันต่างกันแค่ชนิดของฮอร์โมน เจเนเรชั่นของฮอร์โมน และปริมาณของฮอร์โมน ผู้ใช้ยาจึงควรเลือกจากประเภทฮอร์โมนที่ต้องการก่อนที่จะเลือกยี่ห้อ เพราะตัวยาในแต่ละเจเนเรชั่นจะมีการพัฒนาให้มีผลข้างเคียงลดลง และเพิ่มประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดให้มากขึ้น เช่น  ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนบางตัวจะมีฤทธิ์ต่อต้านแอนโดรเจน ช่วยให้ผิวสวยขึ้น ลดสิวได้ด้วย
 

แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด F1 ถึง F12 มันทำอะไรได้บ้างมีใครรู้บ้าง ?

 F1 ถึง F12

แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด F1 ถึง F12 มันทำอะไรได้บ้างมีใครรู้บ้าง ? F1 ถึง F12 ส่วนมากเราจะเรียกมันว่า  ฟังก์ชันคีย์ อาจมีความหลากหลายของการใช้งานที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งและโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่เปิดอยู่ซึ่งจะเปลี่ยนวิธีการของแต่ละคีย์เหล่านี้

ยังรวมถึงการใช้งานฟังก์ชันคีย์รวมกับคีย์ ALT หรือ CTRL เช่นผู้ใช้ Microsoft Windows สามารถกด ALT + F4 เพื่อปิดโปรแกรมที่ใช้งานอยู่
ด้านล่างเป็นรายการบางส่วนของการทำงานของคีย์ฟังก์ชั่นในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Microsoft Windows แต่จะไม่ใช่ทุกโปรแกรมที่สนับสนุนฟังก์ชันคีย์


F1
มักจะใช้เป็นคีย์ช่วยเกือบทุกโปรแกรมจะเปิดหน้าจอ
ป้อนการตั้งค่า CMOS
Windows Key + F1 จะเปิดตัวช่วยของ Microsoft Windows
เปิดบานหน้าต่างงาน

F2
ใน Windows จะใช้ในการเปลี่ยนชื่อไอคอนหรือไฟล์
Alt + Ctrl + F2 เปิดเอกสารใหม่ในโปรแกรม Microsoft Word .
Ctrl + F2 จะแสดงหน้าต่างตัวอย่างก่อนพิมพ์ใน Microsoft Word
เข้าสู่การป้อนการตั้งค่า CMOS หรือ Bios

F3
เปิดคุณลักษณะการค้นหาในหลายๆโปรแกรมรวมถึง Microsoft Windows
ใน MS - DOS หรือ Windows ของบรรทัดคำสั่ง F3 จะทำซ้ำคำสั่งสุดท้าย
Shift + F3 จะมีการเปลี่ยนแปลงข้อความใน Microsoft Word

F4
เปิดพบหน้าต่าง
ทำซ้ำการกระทำล่าสุด ( Word 2000 ขึ้นไป )
Alt + F4 จะปิดโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ใน Microsoft Windows
Ctrl + F4 จะปิดหน้าต่างที่เปิดอยู่ในหน้าต่างที่ใช้งานในปัจจุบันใน Microsoft Windows

8 ข้อสงสัยเกี่ยวกับ โน้ตบุ๊ก (Notebook )

 โน้ตบุ๊ก

โน้ตบุ๊ก นั้นมีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับเครื่องซีพี แต่จะมีขนาดเล็กและบางลงมีน้ำหนักเบา  สามารถพกพาได้สะดวก  และมีข้อแตกต่างอีกประการหนึ่งคือโน้ตบุ๊ก ที่สำคัญคือราคาถูกลงกว่าเมื่อก่อนนี้มาก 

โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ในปัจจุบันได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เหมาะกับผู้ที่ ต้องการความสะดวกสบายในการทำงาน  เช่น  ต้องย้ายสถานที่ในการทํางานบ่อยๆ  หรือจำเป็นต้องเตรียมข้อมูลนำเสนองานลูกค้านอกสำนักงาน หลังจากที่ใช้งานไปได้สักพักจึงทำให้เกิดข้อสงสัยต่างๆมากมายเราจึงได้นำเสนอ 8 ข้อสงสัยเกี่ยวกับ โน้ตบุ๊ก (Notebook ) มาให้ทำความเข้าใจกัน

มาเริ่มกันจากข้อ 1 ซึ่งเป็นคำถามยอดฮิตกันเลยดีกว่า คำถามมีอยู่ว่า เสียบปลั๊กถอดแบตฯ หรือใส่แบตฯ เสียบปลั๊กใช้ดี?

ใช่ไหมล่า !! คุณเองในฐานะคนหนึ่งที่ใช้โน้ตบุ๊กก็มักจะถามอย่างนี้เสมอ คำตอบมีอยู่ว่า หลายคนเลือกที่จะถอดแบตเตอรี่ออกแล้วเสียบปลั๊กเพื่อใช้โน้ตบุ๊ก เพราะต้องการยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่โน้ตบุ๊ก แต่คำเตือนมีอยู่ว่า คุณคิดว่าการยืดอายุแบตฯ กับการสูญข้อมูลจะคุ้มหรือไม่ คือถ้าคุณถอดแบตฯ แล้วเสียบปลั๊ก เมื่อเกิดไฟดับ ข้อมูลก็จะหายไป หากยังไม่มีการบันทึกข้อมูล เพราะเครื่องจะหยุดทำงานทันที แต่ถ้ามีแบตฯอยู่ เครื่องก็จะยังไม่ดับ ข้อมูลก็จะไม่หายไป เพราะเครื่องยังทำงานได้จากพลังงานที่ได้จากแบตฯ นั่นเอง

เกร็ดความรู้ก็คือ โน้ตบุ๊กในปัจจุบันนั้นมีระบบตัดไฟเมื่อมีการชาร์จแบตฯ จนเต็มแล้ว ดังนั้น เมื่อชาร์จไฟเต็มเครื่องก็จะตัดการชาร์จทันที ซึ่งระหว่างการใช้งานก็อาจจะทำให้เกิดความร้อนขึ้น และส่งผลต่ออายุของแบตเตอรี่บ้าง แต่ก็ไม่มาก และอีกอย่างก็คือ แบตฯ ทุกก้อนมีอายุการใช้งานของมันอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะใช้หรือไม่ใช้ก็ตาม และแบตฯแบบลิเทียมไอออน ก็ไม่ควรปล่อยให้หมดแล้วไม่มีการชาร์จไฟเลย เพราะจะยิ่งทำให้แบตฯ เสื่อมเร็วกว่าที่ควร

คำแนะนำก็คือ ให้ใช้งานไปอย่างปกติ เมื่อถึงเวลาก็เปลี่ยนแบตฯก้อนใหม่ ดีกว่าให้เครื่องเสีย มีปัญหา หรือฮาร์ดดิสก์พังพร้อมๆ กับข้อมูลสำคัญๆ หายไป

ทีนี้ คงพอจะรู้แล้วสินะว่าจะเสียบปลั๊กถอดแบตฯ หรือใส่แบตฯเสียบปลั๊ก !!


มาถึงข้อ 2 กัน ที่ว่าถ้ามีโน้ตบุ๊กแล้วอยากจะเอาไปเล่นเกมจะต้องทำอย่างไร..?

ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่หลายคนถามมา เพราะรู้กันดีอยู่ว่า สเปคของโน้ตบุ๊กนั้น หากจะเล่นเกมได้แล้วคงจะต้องแพงเสียหน่อย

คำตอบในหนังสือบอกไว้ว่า คนที่ซื้อโน้ตบุ๊กรุ่นที่ใช้การ์ดจอออนบอร์ดหรือใช้ความสามารถของชิปเซตนั้น หากต้องการนำเครื่องไปเล่นเกม 3 มิติแล้วก็คงจะไม่เหมาะสม การอัพเกรดส่วนสำคัญอย่างการ์ดจอนั้นไม่สามารถทำได้ แม้ว่าเครื่องบางรุ่นจะใช้การ์ดจอที่เป็นโมดูลที่สามารถถอดออกมาได้ก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถอัพเกรดได้

เหตุเพราะจะต้องดูการรองรับการ์ดจอและความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สำคัญก็คือ คุณคงไม่สามารถหาซื้อการ์ดจอมาอัพเกรดนั่นเอง และใครที่ติดตามข่าวสารในวงการโน้ตบุ๊กก็คงจะรู้ดีว่า มีการออกแบบการ์ดจอแบบติดตั้งภายนอกออกมาแล้ว แต่ยังไม่มีการจำหน่าย อาจจะต้องรอกันอีกสักพักหนึ่ง

สรุปสำหรับคำถามนี้คือ ทำไม่ได้

ช่างเป็นคำตอบที่เสียดแทงใจผู้ที่มีโน้ตบุ๊กใช้งานแต่อย่างเล่นเกมเจ๋ง ๆ เหลือเกิน..!!

17 ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับ Hard Disk

 Hard Disk

17 ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับ Hard Disk  

มีความเชื่อต่างๆ นานาเกี่ยวกับ Hard Disk และการใช้งาน Hard Diskซึ่งเป็นความเชื่อบางอย่างที่มันเป็นความเชื่อ ที่ผิดๆ และทำให้เราไม่สามารถใช้งาน HDD. ได้อย่างเต็มที่ เรามาดูกันว่าความเชี่อเหล่านั้นมีอะไรบ้าง และข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ความเชื่อที่ 1 : การฟอร์แมต HDD.บ่อยๆ อาจทำให้อายุการใช้งานของ HDD.สั้นลง

ข้อเท็จจริง : การฟอร์แมต HDD.ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของ HDD.แต่อย่างใด ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่หลายๆ คนจะคิดว่ามีส่วนทำให้อายุการใช้งานสั้นลง แต่จริงๆ แล้ว เป็นความเชื่อที่ผิดๆ เท่านั้น การฟอร์แมต HDD. ไม่ถือเป็นการทำงานที่จะทำให้ HDD.ต้องแบกรับภาะหนัก หัวอ่านของ HDD.จะไม่มีการสัมผัสกับแผ่นจานข้อมูลแต่อย่างใด (Platter) ระหว่างการฟอร์แมต สรุปแล้วก็คือ เราสามารถฟอร์แมต HDD. 30 ครั้งต่อวัน ทุกวันเลยก็ได้ อายุการใช้งานมันก็จะไม่ต่างจากจาก HDD. อื่นๆ เลย

ความเชื่อที่ 2 : การฟอร์แมต HDD.จะทำให้มีข้อมูล หรือปฎิกรณ์  อะไรสักอย่าง วางซ้อนเพิ่มบนแผ่นดิสก์ ซึ่งมีผลทำให้เกิด bad sector ได้

ข้อเท็จจริง : การฟอร์แมตจะไม่ทำให้เกิดข้อมูล หรืออะไรทั้งนั้นที่แผ่น HDD. เนื่องจาก HDD.เป็นระบบปิด ดั้งนั้นฝุ่นหรือปฏิกรณ์จะ ยากที่จะเข้าไปยังดิสก์ได้ และแม้จะมีฝุ่นก็ตามแต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฝุ่นจะต้องมากับการฟอร์แมต

ความเชื่อที่ 3 : การฟอร์แมต HDD. จะมีความเค้นต่อเข็มหัวอ่าน (head actuator) สูง

ข้อเท็จจริง : การฟอร์แมตมีการอ่านในแต่ละเซ็กเตอร์อย่างต่อเนื่อง และเป็นลำดับชั้น เช่น เซ็กเตอร์ที่ 500 เซ็กเตอร์ที่ 501 เซ็กเตอร์ที่ 502 และต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ทำให้มีการเคลื่อนตัวของเข็มหัวอ่านน้อยมาก ดังนั้น ข้อเท็จจริงของความเชื่อนี้ก็คือ การฟอร์แมตจะไม่มีความเค้นสูงต่อเข็มหัวอ่าน HDD.

ความเชื่อที่ 4 : การดีแฟรกเมนต์ (defragmenting) HDD.จะมีความเค้นที่หัวอ่านสูง

ข้อเท็จจริง : ข้อนี้ถือว่าเป็นเรื่องจริง เพราะการดีแฟรกเมนต์ต้องอาศัยการควานหาตำแหน่งของเซ็กเตอร์อย่างสูง เนื่องจากการดีแฟรกเมนต์ก็คือการจัดระเบียบเซ็กเตอร์ต่างๆ เพื่อไม่ให้หัวอ่านต้องทำงานหนักเวลาที่ใช้หาข้อมูลในการใช้งานจริง ดังนั้น แม้ในกระบวนการดีแฟร็กเมนต์ จะทำให้เข็มหัวอ่านมีความเค้นสูงก็ตาม แต่หลังจากที่ได้ทำการดีแฟรกเมนต์แล้ว เข็มหัวอ่านก็ไม่ต้องทำงานหนัก เหมือนก่อนที่จะทำการดีแฟรกเมนต์ เพราะจะหาเซ็กเตอร์ได้เร็วขึ้น สะดวกขึ้น

ภาวะ หัวใจหยุดเต้น กะทันหันขณะออกกำลังกาย หลอดเลือดหัวใจตีบ

 

หลอดเลือดหัวใจตีบ

ภาวะ หัวใจหยุดเต้น กะทันหันขณะออกกำลังกาย จากโรค หลอดเลือดหัวใจตีบ เฉียบพลันที่ซ่อนอยู่ไม่รู้ตัว บ่อยครั้งที่เราเห็นข่าวการเสียชีวิตของนักวิ่งหรือนักกีฬาอื่น ๆ ที่เกิดจากหัวใจหยุดเต้นกะทันหันและหัวใจวาย ซึ่งร้อยละ 50 ของคนกลุ่มนี้ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่ามีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบซ่อนอยู่

อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เฉียบพลันอาจแสดงมากขึ้นในขณะที่หัวใจต้องทำงานหนัก อย่างเช่นระหว่างออกกำลังกาย หรือแม้แต่การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นการเดินขึ้นบันได มีเพศสัมพันธ์ ออกแรงยกของ ตกใจ หรือแม้แต่หลังการออกกำลังกายก็สามารถเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลันได้ ดังนั้นการตรวจคัดกรองโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจจึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด
 

การตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจก่อนออกกำลังกาย มีวิธีตรวจดังนี้ คือ

1. การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าการวิ่งสายพาน แต่จะไม่สามารถแสดงผลได้หากมีอาการตีบเพียงเล็กน้อยและหัวใจยังสูบฉีดเลือดได้ดี

2. ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือดหัวใจ  อาจพิจารณาทำในบุคคลที่มีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจสูงมาก เช่น คำนวณความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจและหลอดเลือดในระยะเวลา 10 ปีของท่านแล้วมากกว่า 10% หรือมีประวัติในครอบครัว หรือมีภาวะไขมันโลหิตสูงจากพันธุกรรม และต้องการออกกำลังกายแบบเข้มข้น
 

พิษจาก พาราเซตามอล ใครว่าธรรมดา

 พาราเซตามอล

พาราเซตามอล ในสมัยโบราณมีการใช้เปลือกต้นหลิว willow เป็นยาลดไข้ antipyretic และมีการค้นพบสารเคมีในเปลือกต้นหลิวคือ ซาลิซิน salicins ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นแอสไพริน aspirin ได้ นอกจากนี้ยังค้นพบว่าในเปลือกซิงโคนา cinchona มี ควินิน quinine ที่มีฤทธิ์เป็นยาแก้ไข้ได้ซึ่งต่อมาถูกนำมาใช้เป็นยารักษามาลาเรีย

ในปี ค.ศ. 1880 เกิดภาวะขาดแคลนต้นซิงโคนา จึงได้มีคนพยายามที่จะหาทางเลือกสำหรับยาลดไข้ จนมีการค้นพบยาลดไข้ตัวใหม่คือ
    • ปี ค.ศ. 1886 พบ อะซิตานิไลด์ (acetanilide)
    • ปี ค.ศ. 1887 พบ ฟีนาซิตีน (Phenacetin)

ขณะเดียวกันในปี ค.ศ. 1873 ฮาร์มอน นอร์ทรอป มอร์ส (Harmon Northrop Morse) ก็สามารถสังเคราะห์ พาราเซตามอล โดยปฏิกิริยารีดักชั่น พารา-ไนโตรฟีนอล (p-nitrophenol) กับดีบุกในกรดอะซิติก (acetic acid) แต่ก็ยังไม่มีการนำพาราเซตามอลมาใช้เป็นยาลดไข้ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1893 ได้มีการตรวจพบพาราเซตามอลในปัสสาวะของผู้ที่ใช้ยาฟีนาซิตีน และยังค้นพบว่าอะซิตานิไลด์ จะถูกเปลี่ยนเป็นพาราเซตามอลในร่างกายก่อนจึงสามารถออกฤทธิ์ลดไข้ได้ในปี ค.ศ. 1899

เนื่องจาก พาราเซตามอล (paracetamol) หรือ อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) เป็นยาบรรเทาอาการปวด (analgesics) ไม่มีผลข้างเคียงเรื่องการระคายเคืองผนังกระเพาะอาหาร และการแข็งตัวของเลือดเหมือนยากลุ่มเอ็นเซด (non-steroidal anti-inflammatory  NSAIDs) เช่น ยาแอสไพริน ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หากใช้ในขนาดการรักษาปกติ ทำให้ประชาชนทั่วไปไม่ค่อยรู้พิษสงของยานี้เท่าไหร่ นอกจากนี้ยังสามารถหาซื้อได้ง่ายโดยไม่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ เป็นเหตุให้ปริมาณการใช้ยาตัวนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พาราเซตามอลกลายเป็นยาประจำบ้านที่ขายดิบขายดี เป็นอะไรก็กินแต่พาราเซตามอล ปวดศีรษะ ไข้หวัด ก็พาราเซตามอล ปวดหลัง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ก็พาราเซตามอล ยิ่งกว่านั้นบางรายปวดท้อง เวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ก็กินพาราเซตามอล ซึ่งพาราเซตามอลก็คงไม่ได้ช่วยอะไร ทำได้แค่ให้สบายใจขึ้นเพราะได้กินยาแล้ว บ้างก็มัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมไปหาหมอรักษากัน พลอยทำให้โรคที่เป็นลุกลามมากขึ้น ต้องเสียเงินรักษามากขึ้นโดยใช่เหตุ 

ทำไม ง่วง เหลือทนหลังรับประทานอาหาร

 ง่วง

คุณเคยสังเกตตัวเองบ้างมั้ยว่า บางวันคุณรู้สึกกระฉับกระเฉง ทำงานทำการได้มากมาย แต่บางวันกลับรู้สึกง่วง เหลือทนหลังรับประทานอาหาร  และอยากนอนหลับพับไปเลย นั่นอาจเกิดจากอาหารที่คุณรับประทานมา ขโมยพลังไปจากคุณ หากคุณคิดก่อนหยิบอาหารใส่ปากก็จะป้องกันอาการดังกล่าวได้
 

*กาแฟ  ดื่มกาแฟตอนเช้าโดยที่กระเพาะอาหารยังว่างเปล่าจะทำให้ ง่วง ได้ เพราะหลังจากดื่มกาแฟได้ 30 นาที กาเฟอีนจะเข้าไปในกระแสเลือดและไปที่สมอง ส่งผลให้ออกซิเจนที่ส่งไปยังสมองถูกสกัดกั้น แล้วความง่วงก็จะตามมา

*กล้วย  เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานอย่างรวดเร็ว ช่วยสลายความเครียด ฮอร์โมนเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟรินจากกล้วย จะช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข แต่ถ้ารับประทานกล้วยมากเกินไปจ ะทำให้เราเกียจคร้านและไม่อยากขยับเคลื่อนไหวร่างกาย

*ช็อกโกแลต  สาร Phenylethylamine ในช็อกโกแลตจะทำให้ง่วงนอน ดังนั้น ช็อกโกแลตจึงเปรียบเสมือนยาที่ช่วยให้นอนหลับ และถ้าหากมีโกโก้ในปริมาณสูงก็จะทำให้รู้สึกมีความสุข