น้องชายของเราเหมาะกับ ไซส์ถุงยาง ขนาดไหน

ไซส์ถุงยาง

 

หลายคนยังสับสนว่าขนาด น้องชายของเราเหมาะกับไซส์ถุงยางขนาดไหน หรือบางคนก็ยังงงกับวิธีการวัดขนาดว่าทำอย่างไร นพ.กัมปนาท พรยศไกร ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช เจ้าของเพจให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเพศชาย Sarikahappymen มาฝาก

ปกติถุงยางในไทยจะมีขนาดต่าง ๆ แล้วแต่ยี่ห้อดังนี้ เช่น ดูเร็กซ์ อาจจะมีตั้งแต่ 49 ,52 ,52.5, 53 ,54 และ 56 มม ส่วนยี่ห้ออื่นๆ อาจจะมีแค่ 49 ,52 ,54 และ 56 ซึ่งจริง ๆ วัดจากเส้นรอบวงนะครับ ไม่ใช่ความยาว และก็ไม่ใช่เอามาหารสองเป็นค่า 49 หรือ 52 ด้วยครับ ซึ่งวิธีที่บางคนวัดถุงยางจากความยาวนั้นคือผิด เพราะถุงยางเกือบทุกยี่ห้อจะทำความยาวมาเกือบเท่า ๆ กันครับ คือทำมายาวมาตรฐาน 6-7 นิ้ว แต่มันจะต่างกันที่เส้นรอบวง โดยถ้าเอาเป๊ะจะต้องวัดรอบวง โดยการใช้สายวัดพันตรงกลางลำกระชับ ๆ ไม่ต้องหลอกตัวเอง ให้หน่วยเป็น mm ,cm หรือ นิ้ว จากสายวัดเท่านั้น โดยตัวเลขในตารางด้านล่างเป็นตัวเลขประมาณการที่ใช้ได้จริงครับ

ไซส์ถุงยาง(มม.) รองรับขนาดความใหญ่ของรอบวง (ซม.) ขนาดความใหญ่ของรอบวง (นิ้ว)

49 มม. สำหรับรอบวง 11-12ซม.หรือใหญ่ประมาณ 4.5 นิ้ว 
52 มม. สำหรับรอบวง 12-13ซม.หรือใหญ่ประมาณ 5 นิ้ว 
54 มม. สำหรับรอบวง 13-14ซม.หรือใหญ่ประมาณ 5.5 นิ้ว 
56 มม. สำหรับรอบวง 14-15ซม.หรือใหญ่ประมาณ 6 นิ้ว ขึ้นไป

กินตับ บ่อยๆจะเสียสุขภาพ ?

 

ตับ คืออวัยวะที่ใหญ่ที่สุดภายใน ช่องท้อง ทำหน้าที่สำคัญหลายอย่างในร่างกาย เช่น สร้างน้ำดีออกมาช่วยย่อยอาหารประเภทไขมัน เป็นแหล่งกักเก็บ กลูโคส ธาตุเหล็ก รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด กรองและกำจัดยาและสารพิษต่างๆ ออกจากกระแสเลือด

ตับเป็นเครื่องในสัตว์อีกหนึ่งชนิดที่นิยมนำมาประกอบอาหารในหลายๆ วัฒนธรรม รวมถึงเมืองไทยของเราก็มีเมนูตับยอดฮิตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตับหวาน ตับไก่ย่าง ต้มเครื่องใน


แต่ก็ยังมีหลายคนที่ไม่ชอบกินตับสัตว์ เพราะเนื้อสัมผัสและรสชาติอาจไม่ถูกปาก หรือด้วยมองว่าหน้าที่การทำงานของ ตับ ทำให้ตับดูไม่สะอาดและไม่น่ากิน และหากคุณเป็นหนึ่งในนั้น เราอยากบอกว่า คุณกำลังพลาดหนึ่งในซูเปอร์ฟู้ดที่หาได้ง่ายๆ สุด เพราะผู้เชี่ยวชาญเผยว่า ตับคือหนึ่งในอาหารที่มีสารอาหารมากที่สุดอย่างหนึ่งของโลก

ส่วนประกอบส่วนใหญ่ของตับก็จะเป็นโปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อใช้ในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ  นอกจากนี้ตับยังเป็นแหล่งรวมของวิตามินที่มีประโยชน์ เช่น วิตามินเอ ช่วยสร้างและบำรุงรักษาผิวหนังและผนังเยื่อจมูก ช่องในลำไส้ ทำให้เนื้อเยื่อในตาแข็งแรง



    •วิตามิน บี 2 ทำให้ผิวมีสุขภาพดี สายตาดี มองเห็นได้ชัดในที่ที่มีแสงสว่างน้อย
    •วิตามิน บี 3 ทำให้ผิวหนัง ประสาท และลำไส้มีสุขภาพดี ระบบย่อยเป็นปกติ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    •วิตามิน บี 5 ทำให้ร่างกายนำคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด
    •วิตามิน บี 6 สร้างเม็ดเลือดแดงใหม่ๆ ให้กับร่างกาย
    •วิตามิน บี 12 บำรุงประสาทให้แข็งแรง ทำให้สมองทำงานได้ดี ความจำดี และทำให้การสร้างเลือดเป็นปกติ

       ที่สำคัญ ตับจะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบหมุนเวียนเลือด ช่วยเสริมสร้างฮีโมโกบิน (Hemoglobin) ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดงที่ไว้ใช้จับกับออกซิเจนเพื่อให้ออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ดังนั้นผู้ที่เสียเลือดมากเช่นผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน ก็ควรทานตับเพื่อช่วยเสริมสร้างการสร้างเม็ดเลือดที่เสียไป

สัญญาณอันตราย เมื่อกินอาหารที่มี ฟอร์มาลิน มากเกินไป


ฟอร์มาลิน (Formalin) หรือสารละลายฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) มีสูตรเคมีว่า CH2O คนทั่วไปรู้จักกันว่าเป็นสารที่ใช้สำหรับดองศพเพื่อไม่ให้ศพเน่าเปื่อย ใช้ฆ่าเชื้อโรค ฆ่าเชื้อรา และทำความสะอาดห้องคนป่วย ลักษณะทั่วไปของฟอร์มาลินเป็นสารละลายใส ไม่มีสี มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว เป็นสารรีดิวซ์รุนแรง เมื่อสัมผัสกับอากาศจะถูกออกซิไดส์ช้า ๆ ไปเป็นกรดฟอร์มิกซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อน

ฟอร์มาลินเป็นสารที่นิยมใช้กันในหลายด้าน ในด้านการแพทย์ เพื่อคงสภาพของเนื้อเยื่อไม่ให้เน่าเสีย ใช้ฆ่าเชื้อโรคในเครื่องมือต่าง ๆ  

ในการทำเครื่องสำอางจะใช้สารฟอร์มาลินในยาสีฟัน ยาบ้วนปาก สบู่ ครีมโกนหนวดเพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยใช้เป็นส่วนประกอบในความเข้มข้นที่ต่ำมาก ใช้ในน้ำยาดับกลิ่นตัว ใช้เป็นส่วนประกอบของแชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น  

ในด้านอุตสาหกรรม ฟอร์มาลินทำให้ผ้าและกระดาษแข็งเกาะกัน จึงนำมาใช้ในการทำบอร์ดหรือไม้อัด อุตสาหกรรมสิ่งทอใช้ผลิตสารที่ใช้เปลี่ยนแปลงลักษณะน้ำหนักและความแข็งแรงของไหมสังเคราะห์ รักษาผ้าไม่ให้ยับหรือย่น ในอุตสาหกรรมกระดาษ ใช้เพื่อให้กระดาษลื่นและกันน้ำได้  เป็นต้น

ส่วนในด้านการเกษตรใช้สารฟอร์มาลินทำลายและป้องกันจุลินทรีย์ที่ทำให้ต้นไม้เป็นโรค ใช้เก็บรักษาและป้องกันผลิตผลเกษตรจากการเสียหายระหว่างการขนส่ง  ใช้ฆ่าเชื้อราในดิน ใช้เป็นส่วนผสมของสารละลายที่ใช้เคลือบผัก ผลไม้จำพวกส้มระหว่างการเก็บเกี่ยวเพื่อชะลอการเน่าเสีย  เป็นต้น  

พ่อค้า แม่ค้า นิยมนำฟอร์มาลินมาแช่ผัก เนื้อสัตว์ และอาหารทะเลสด เพื่อทำให้อาหารต่างๆ สดอยู่ได้นานไม่เน่าเสียเร็ว แต่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค

การใช้งานบนโลกออนไลน์มากเกินไป ส่งผลอย่างไรกับตัวเรา


ผลสำรวจจาก BBC Future 2018 ระบุว่า จำนวนชั่วโมงการใช้งานบนโลกออนไลน์มากเกินไป ไม่สามารถชี้วัดเป็นตัวเลขได้ เนื่องจาก ผลที่ได้แตกต่างกันในแต่ละบุคคล การใช้งาน 2-3 ชั่วโมงต่อวันอาจมากสำหรับบางคน แต่อาจเป็นเรื่องปกติของคนที่ต้องใช้งานออนไลน์ตลอดทั้งวัน

ในยุคดิจิทัลนี้ ไม่แปลกที่หลายๆ คนใช้เวลามากมายไปกับโลกออนไลน์ ทั้งใช้หาข้อมูล เล่นโซเชียลมีเดีย หรือดูหนังฟังเพลงต่างๆ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าเราเริ่มท่องเที่ยวไปกับโลก ออนไลน์มากเกินไป ถ้าคุณมีสัญญาณจากร่างกาย อารมณ์ และสังคมเหล่านี้ ดังนั้นคำว่ามากเกินไปจึงพิจารณาจากผลเสียที่เกิดขึ้น เช่น ปัญหาที่เกิดกับร่างกายด้านต่าง ๆ หรือปัญหาต่ออารมณ์และกระบวนการคิด ร่างกาย จิตใจ และ สังคม

    ร่างกาย

  •     ตาล้า / ตาแห้ง จากการใช้สายตาในการเพ่งมองหน้าจอมากเกินไป นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดปัญหาตาแห้งเป็นต้อลม และนัยน์ตาแพ้แสงได้ รวมถึงปัญหาสายตาสั้นในเด็ก
  •     ปวดหัว เพราะเพ่งมองหน้าจอมากเกินไป จนกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสตึงเครียด ที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสในส่วนต่าง ๆ จนนำไปสู่อาการปวดศีรษะ รวมถึงกระตุ้นการเกิดโรคไมเกรน
  •     ปวดคอและหลัง เพราะนั่งในท่าทางเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งอาจลามไปถึงปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง และการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณลำคอและไหล่
  •     นิ้วล็อก จากการใช้งานนิ้วหัวแม่มือ หรือข้อมือในลักษณะซ้ำเดิมมากเกินไป ส่งผลให้เส้นเอ็นทับเส้นประสาท ข้อมือ ซึ่งจะทำให้มีอาการมือชาและนิ้วล็อก
  •     นอนไม่หลับ จากแสงสีฟ้าจากหน้าจอที่ส่งออกมา จะขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนเมลาโทนินที่เปรียบเหมือนนาฬิกาชีวภาพ ทั้งยังกระตุ้นให้ร่างกายเข้าใจว่าเป็นเวลาของการตื่นนอน ผลที่ตามมาจึงทำให้เกิดอาการนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจ โรคปอด โรคไต หรือแม้แต่ปัญหาด้านการควบคุมน้ำหนัก

ผมหงอก ปัญหาใหญ่ของคนที่ไม่อยากแก่

 ผมหงอก

หลายคนมักคิดว่า ผมหงอก เป็นสัญลักษณ์ของความแก่ แต่จริงๆ แล้วผมหงอกไม่ได้เป็นตัวตัดสินถึงการมีอายุที่มากหรือถึงคราวที่ชีวิตเข้าสู่ความแก่เสมอไป เพราะบางคนมีอายุเพียงแค่ 20 ก็เริ่มมีผมหงอกขึ้นแล้ว ดังนั้นสำหรับคนที่มีปัญหาผมหงอกขึ้นในช่วงวัยรุ่นหรือวัยที่เพิ่งเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ต้องรู้แล้วว่าสาเหตุใดที่ทำให้มีผมหงอกก่อนเวลา รวมทั้งมีวิธีรักษาผมหงอกในวัยรุ่นและวัยทำงานได้อย่างไรบ้าง

สาเหตุของ ผมหงอกก่อนวัย สาเหตุที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันก็คือ ความเครียด และการทำงานหนักเกินไป แต่จริง ๆ แล้วผมหงอกก่อนวัยเกิดได้จากหลายปัจจัยมาก ๆ ทั้งกรรมพันธุ์ ความผิดปกติในร่างกาย การเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคโลหิตจาง โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ ซึ่งผมหงอกจากกรรมพันธุ์และโรคจะไม่สามารถกลับมาดำเหมือนเดิมได้อีก นอกจากจะย้อมผมเท่านั้น นอกจากสาเหตุทางการแพทย์แล้ว เมื่อร่างกายตกใจหรือเสียใจอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ร้ายแรง ก็จะทำให้รากผมชะงักการเจริญเติบโตได้ การรับประทานยาแก้อักเสบ รวมถึงการขาดโปรตีน และวิตามินบี 12 การดื่มแอลกอฮอล์หนัก ๆ และการสูบบุหรี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่อาจทำให้คุณมีโอกาสที่จะผมหงอกไวกว่าคนไม่สูบบุหรี่ถึง 4 เท่า

นอกจากนี้ยังมีสารเคมีรุนแรง เช่น สาร SLS ซึ่งเป็นสารช่วยทำความสะอาดที่อยู่ในแชมพู สารเคมีจากการทำผม วิธีป้องกันและรักษาผมหงอกก่อนวัย เนื่องจากยังไม่มีการค้นพบอาหารหรือยาชนิดพิเศษที่รักษาได้โดยตรง อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ผมหงอกก่อนวัยที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์และโรค ยังสามารถกลับมาดำเหมือนเดิมได้อยู่

ดังนั้นเราจึงต้องลดสิ่งที่จะไปกระตุ้นให้เกิดผมหงอกไวขึ้น เช่น ลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ งดสูบบุหรี่ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และอาจเน้นสารอาหารที่บำรุงเส้นผมอย่างโปรตีน วิตามินเอ บี และแร่ธาตุต่าง ๆ รวมถึงการออกกำลังกายด้วย แต่ถ้าไม่ทันใจจริง ๆ ก็ต้องแก้ปัญหาด้วยการย้อมผมปิดผมหงอกเลยจ้า ซึ่งก็ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพและอ่อนโยนต่อหนังศีรษะที่บอบบางของเราด้วย

ยาคุมกำเนิด ทานให้ถูกวิธี เรื่องจริงที่ผู้หญิงต้องรู้

ยาคุมกำเนิด

ยาคุมกำเนิด (Birth control pill) เป็นวิธีคุมกำเนิดที่บรรจุฮอร์โมนเพศหญิง คือ เอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เพื่อออกฤทธิ์ต่อการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ยับยั้งการตกไข่ หากรับประทานยาถูกวิธีจะทำให้สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ แต่มีคนไม่น้อยที่มีความเชื่อผิด ๆ รับประทานยาคุมกำเนิดที่ผิดวิธี ซึ่งอาจนำมาถึงปัญหาการตั้งครรภ์ได้ 

ยาคุมกำเนิด แบบเม็ดแบ่งตามชนิดฮอร์โมนได้ 2 ประเภท คือ ฮอร์โมนเดี่ยวและฮอร์โมนรวม ประเภทฮอร์โมนเดี่ยว มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียว มีฤทธิ์คุมกำเนิดสูง ส่วนประเภทฮอร์โมนรวม ประกอบด้วยทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในปริมาณและชนิดที่ต่างกัน ยิ่งปริมาณของฮอร์โมนมากยิ่งคุมกำเนิดได้ดี แต่ผลข้างเคียงจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ถ้ามีปริมาณของฮอร์โมนน้อย การคุมกำเนิดก็น้อยลงและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าด้วยเช่นกัน
 

นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งประเภทตามจำนวนเม็ดได้อีกเช่นกัน คือ แบบ 21 เม็ด และแบบ 28 เม็ด โดยแบบ 21 เม็ดจะต้องกินแล้วเว้นไป 7 วันจึงจะสามาระเริ่มแผงใหม่ได้ ส่วนแบบ 28 เม็ด จะมีตัวยาจริงเพียง 21 เม็ด และมีเม็ดแป้งอีก 7 เม็ด เหมาะสำหรับคนที่กลัวจะนับวันผิด จึงควรกินต่อกันจนหมดแผงได้เลย แต่ไม่ว่าจะกินแบบใดก็ได้ผลในการคุมกำเนิดเท่ากัน
 

ยาคุมกำเนิดที่วางขายในปัจจุบันต่างกันแค่ชนิดของฮอร์โมน เจเนเรชั่นของฮอร์โมน และปริมาณของฮอร์โมน ผู้ใช้ยาจึงควรเลือกจากประเภทฮอร์โมนที่ต้องการก่อนที่จะเลือกยี่ห้อ เพราะตัวยาในแต่ละเจเนเรชั่นจะมีการพัฒนาให้มีผลข้างเคียงลดลง และเพิ่มประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดให้มากขึ้น เช่น  ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนบางตัวจะมีฤทธิ์ต่อต้านแอนโดรเจน ช่วยให้ผิวสวยขึ้น ลดสิวได้ด้วย
 

แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด F1 ถึง F12 มันทำอะไรได้บ้างมีใครรู้บ้าง ?

 F1 ถึง F12

แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด F1 ถึง F12 มันทำอะไรได้บ้างมีใครรู้บ้าง ? F1 ถึง F12 ส่วนมากเราจะเรียกมันว่า  ฟังก์ชันคีย์ อาจมีความหลากหลายของการใช้งานที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งและโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่เปิดอยู่ซึ่งจะเปลี่ยนวิธีการของแต่ละคีย์เหล่านี้

ยังรวมถึงการใช้งานฟังก์ชันคีย์รวมกับคีย์ ALT หรือ CTRL เช่นผู้ใช้ Microsoft Windows สามารถกด ALT + F4 เพื่อปิดโปรแกรมที่ใช้งานอยู่
ด้านล่างเป็นรายการบางส่วนของการทำงานของคีย์ฟังก์ชั่นในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Microsoft Windows แต่จะไม่ใช่ทุกโปรแกรมที่สนับสนุนฟังก์ชันคีย์


F1
มักจะใช้เป็นคีย์ช่วยเกือบทุกโปรแกรมจะเปิดหน้าจอ
ป้อนการตั้งค่า CMOS
Windows Key + F1 จะเปิดตัวช่วยของ Microsoft Windows
เปิดบานหน้าต่างงาน

F2
ใน Windows จะใช้ในการเปลี่ยนชื่อไอคอนหรือไฟล์
Alt + Ctrl + F2 เปิดเอกสารใหม่ในโปรแกรม Microsoft Word .
Ctrl + F2 จะแสดงหน้าต่างตัวอย่างก่อนพิมพ์ใน Microsoft Word
เข้าสู่การป้อนการตั้งค่า CMOS หรือ Bios

F3
เปิดคุณลักษณะการค้นหาในหลายๆโปรแกรมรวมถึง Microsoft Windows
ใน MS - DOS หรือ Windows ของบรรทัดคำสั่ง F3 จะทำซ้ำคำสั่งสุดท้าย
Shift + F3 จะมีการเปลี่ยนแปลงข้อความใน Microsoft Word

F4
เปิดพบหน้าต่าง
ทำซ้ำการกระทำล่าสุด ( Word 2000 ขึ้นไป )
Alt + F4 จะปิดโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ใน Microsoft Windows
Ctrl + F4 จะปิดหน้าต่างที่เปิดอยู่ในหน้าต่างที่ใช้งานในปัจจุบันใน Microsoft Windows

8 ข้อสงสัยเกี่ยวกับ โน้ตบุ๊ก (Notebook )

 โน้ตบุ๊ก

โน้ตบุ๊ก นั้นมีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับเครื่องซีพี แต่จะมีขนาดเล็กและบางลงมีน้ำหนักเบา  สามารถพกพาได้สะดวก  และมีข้อแตกต่างอีกประการหนึ่งคือโน้ตบุ๊ก ที่สำคัญคือราคาถูกลงกว่าเมื่อก่อนนี้มาก 

โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ในปัจจุบันได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เหมาะกับผู้ที่ ต้องการความสะดวกสบายในการทำงาน  เช่น  ต้องย้ายสถานที่ในการทํางานบ่อยๆ  หรือจำเป็นต้องเตรียมข้อมูลนำเสนองานลูกค้านอกสำนักงาน หลังจากที่ใช้งานไปได้สักพักจึงทำให้เกิดข้อสงสัยต่างๆมากมายเราจึงได้นำเสนอ 8 ข้อสงสัยเกี่ยวกับ โน้ตบุ๊ก (Notebook ) มาให้ทำความเข้าใจกัน

มาเริ่มกันจากข้อ 1 ซึ่งเป็นคำถามยอดฮิตกันเลยดีกว่า คำถามมีอยู่ว่า เสียบปลั๊กถอดแบตฯ หรือใส่แบตฯ เสียบปลั๊กใช้ดี?

ใช่ไหมล่า !! คุณเองในฐานะคนหนึ่งที่ใช้โน้ตบุ๊กก็มักจะถามอย่างนี้เสมอ คำตอบมีอยู่ว่า หลายคนเลือกที่จะถอดแบตเตอรี่ออกแล้วเสียบปลั๊กเพื่อใช้โน้ตบุ๊ก เพราะต้องการยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่โน้ตบุ๊ก แต่คำเตือนมีอยู่ว่า คุณคิดว่าการยืดอายุแบตฯ กับการสูญข้อมูลจะคุ้มหรือไม่ คือถ้าคุณถอดแบตฯ แล้วเสียบปลั๊ก เมื่อเกิดไฟดับ ข้อมูลก็จะหายไป หากยังไม่มีการบันทึกข้อมูล เพราะเครื่องจะหยุดทำงานทันที แต่ถ้ามีแบตฯอยู่ เครื่องก็จะยังไม่ดับ ข้อมูลก็จะไม่หายไป เพราะเครื่องยังทำงานได้จากพลังงานที่ได้จากแบตฯ นั่นเอง

เกร็ดความรู้ก็คือ โน้ตบุ๊กในปัจจุบันนั้นมีระบบตัดไฟเมื่อมีการชาร์จแบตฯ จนเต็มแล้ว ดังนั้น เมื่อชาร์จไฟเต็มเครื่องก็จะตัดการชาร์จทันที ซึ่งระหว่างการใช้งานก็อาจจะทำให้เกิดความร้อนขึ้น และส่งผลต่ออายุของแบตเตอรี่บ้าง แต่ก็ไม่มาก และอีกอย่างก็คือ แบตฯ ทุกก้อนมีอายุการใช้งานของมันอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะใช้หรือไม่ใช้ก็ตาม และแบตฯแบบลิเทียมไอออน ก็ไม่ควรปล่อยให้หมดแล้วไม่มีการชาร์จไฟเลย เพราะจะยิ่งทำให้แบตฯ เสื่อมเร็วกว่าที่ควร

คำแนะนำก็คือ ให้ใช้งานไปอย่างปกติ เมื่อถึงเวลาก็เปลี่ยนแบตฯก้อนใหม่ ดีกว่าให้เครื่องเสีย มีปัญหา หรือฮาร์ดดิสก์พังพร้อมๆ กับข้อมูลสำคัญๆ หายไป

ทีนี้ คงพอจะรู้แล้วสินะว่าจะเสียบปลั๊กถอดแบตฯ หรือใส่แบตฯเสียบปลั๊ก !!


มาถึงข้อ 2 กัน ที่ว่าถ้ามีโน้ตบุ๊กแล้วอยากจะเอาไปเล่นเกมจะต้องทำอย่างไร..?

ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่หลายคนถามมา เพราะรู้กันดีอยู่ว่า สเปคของโน้ตบุ๊กนั้น หากจะเล่นเกมได้แล้วคงจะต้องแพงเสียหน่อย

คำตอบในหนังสือบอกไว้ว่า คนที่ซื้อโน้ตบุ๊กรุ่นที่ใช้การ์ดจอออนบอร์ดหรือใช้ความสามารถของชิปเซตนั้น หากต้องการนำเครื่องไปเล่นเกม 3 มิติแล้วก็คงจะไม่เหมาะสม การอัพเกรดส่วนสำคัญอย่างการ์ดจอนั้นไม่สามารถทำได้ แม้ว่าเครื่องบางรุ่นจะใช้การ์ดจอที่เป็นโมดูลที่สามารถถอดออกมาได้ก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถอัพเกรดได้

เหตุเพราะจะต้องดูการรองรับการ์ดจอและความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สำคัญก็คือ คุณคงไม่สามารถหาซื้อการ์ดจอมาอัพเกรดนั่นเอง และใครที่ติดตามข่าวสารในวงการโน้ตบุ๊กก็คงจะรู้ดีว่า มีการออกแบบการ์ดจอแบบติดตั้งภายนอกออกมาแล้ว แต่ยังไม่มีการจำหน่าย อาจจะต้องรอกันอีกสักพักหนึ่ง

สรุปสำหรับคำถามนี้คือ ทำไม่ได้

ช่างเป็นคำตอบที่เสียดแทงใจผู้ที่มีโน้ตบุ๊กใช้งานแต่อย่างเล่นเกมเจ๋ง ๆ เหลือเกิน..!!

17 ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับ Hard Disk

 Hard Disk

17 ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับ Hard Disk  

มีความเชื่อต่างๆ นานาเกี่ยวกับ Hard Disk และการใช้งาน Hard Diskซึ่งเป็นความเชื่อบางอย่างที่มันเป็นความเชื่อ ที่ผิดๆ และทำให้เราไม่สามารถใช้งาน HDD. ได้อย่างเต็มที่ เรามาดูกันว่าความเชี่อเหล่านั้นมีอะไรบ้าง และข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ความเชื่อที่ 1 : การฟอร์แมต HDD.บ่อยๆ อาจทำให้อายุการใช้งานของ HDD.สั้นลง

ข้อเท็จจริง : การฟอร์แมต HDD.ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของ HDD.แต่อย่างใด ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่หลายๆ คนจะคิดว่ามีส่วนทำให้อายุการใช้งานสั้นลง แต่จริงๆ แล้ว เป็นความเชื่อที่ผิดๆ เท่านั้น การฟอร์แมต HDD. ไม่ถือเป็นการทำงานที่จะทำให้ HDD.ต้องแบกรับภาะหนัก หัวอ่านของ HDD.จะไม่มีการสัมผัสกับแผ่นจานข้อมูลแต่อย่างใด (Platter) ระหว่างการฟอร์แมต สรุปแล้วก็คือ เราสามารถฟอร์แมต HDD. 30 ครั้งต่อวัน ทุกวันเลยก็ได้ อายุการใช้งานมันก็จะไม่ต่างจากจาก HDD. อื่นๆ เลย

ความเชื่อที่ 2 : การฟอร์แมต HDD.จะทำให้มีข้อมูล หรือปฎิกรณ์  อะไรสักอย่าง วางซ้อนเพิ่มบนแผ่นดิสก์ ซึ่งมีผลทำให้เกิด bad sector ได้

ข้อเท็จจริง : การฟอร์แมตจะไม่ทำให้เกิดข้อมูล หรืออะไรทั้งนั้นที่แผ่น HDD. เนื่องจาก HDD.เป็นระบบปิด ดั้งนั้นฝุ่นหรือปฏิกรณ์จะ ยากที่จะเข้าไปยังดิสก์ได้ และแม้จะมีฝุ่นก็ตามแต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฝุ่นจะต้องมากับการฟอร์แมต

ความเชื่อที่ 3 : การฟอร์แมต HDD. จะมีความเค้นต่อเข็มหัวอ่าน (head actuator) สูง

ข้อเท็จจริง : การฟอร์แมตมีการอ่านในแต่ละเซ็กเตอร์อย่างต่อเนื่อง และเป็นลำดับชั้น เช่น เซ็กเตอร์ที่ 500 เซ็กเตอร์ที่ 501 เซ็กเตอร์ที่ 502 และต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ทำให้มีการเคลื่อนตัวของเข็มหัวอ่านน้อยมาก ดังนั้น ข้อเท็จจริงของความเชื่อนี้ก็คือ การฟอร์แมตจะไม่มีความเค้นสูงต่อเข็มหัวอ่าน HDD.

ความเชื่อที่ 4 : การดีแฟรกเมนต์ (defragmenting) HDD.จะมีความเค้นที่หัวอ่านสูง

ข้อเท็จจริง : ข้อนี้ถือว่าเป็นเรื่องจริง เพราะการดีแฟรกเมนต์ต้องอาศัยการควานหาตำแหน่งของเซ็กเตอร์อย่างสูง เนื่องจากการดีแฟรกเมนต์ก็คือการจัดระเบียบเซ็กเตอร์ต่างๆ เพื่อไม่ให้หัวอ่านต้องทำงานหนักเวลาที่ใช้หาข้อมูลในการใช้งานจริง ดังนั้น แม้ในกระบวนการดีแฟร็กเมนต์ จะทำให้เข็มหัวอ่านมีความเค้นสูงก็ตาม แต่หลังจากที่ได้ทำการดีแฟรกเมนต์แล้ว เข็มหัวอ่านก็ไม่ต้องทำงานหนัก เหมือนก่อนที่จะทำการดีแฟรกเมนต์ เพราะจะหาเซ็กเตอร์ได้เร็วขึ้น สะดวกขึ้น

ภาวะ หัวใจหยุดเต้น กะทันหันขณะออกกำลังกาย หลอดเลือดหัวใจตีบ

 

หลอดเลือดหัวใจตีบ

ภาวะ หัวใจหยุดเต้น กะทันหันขณะออกกำลังกาย จากโรค หลอดเลือดหัวใจตีบ เฉียบพลันที่ซ่อนอยู่ไม่รู้ตัว บ่อยครั้งที่เราเห็นข่าวการเสียชีวิตของนักวิ่งหรือนักกีฬาอื่น ๆ ที่เกิดจากหัวใจหยุดเต้นกะทันหันและหัวใจวาย ซึ่งร้อยละ 50 ของคนกลุ่มนี้ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่ามีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบซ่อนอยู่

อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เฉียบพลันอาจแสดงมากขึ้นในขณะที่หัวใจต้องทำงานหนัก อย่างเช่นระหว่างออกกำลังกาย หรือแม้แต่การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นการเดินขึ้นบันได มีเพศสัมพันธ์ ออกแรงยกของ ตกใจ หรือแม้แต่หลังการออกกำลังกายก็สามารถเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลันได้ ดังนั้นการตรวจคัดกรองโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจจึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด
 

การตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจก่อนออกกำลังกาย มีวิธีตรวจดังนี้ คือ

1. การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าการวิ่งสายพาน แต่จะไม่สามารถแสดงผลได้หากมีอาการตีบเพียงเล็กน้อยและหัวใจยังสูบฉีดเลือดได้ดี

2. ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือดหัวใจ  อาจพิจารณาทำในบุคคลที่มีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจสูงมาก เช่น คำนวณความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจและหลอดเลือดในระยะเวลา 10 ปีของท่านแล้วมากกว่า 10% หรือมีประวัติในครอบครัว หรือมีภาวะไขมันโลหิตสูงจากพันธุกรรม และต้องการออกกำลังกายแบบเข้มข้น