วิธีทำ ขนมปุยฝ้าย

 

เงินลงทุน
 ประมาณ 2,000 บาท รายได 250 บาท / แป้ง 1 กิโลกรัม วัสดุ / อุปกรณ์กะละมังพลาสติก
ถาด ถ้วยตวง เครื่องตีไข่ ตาชั่ง ถ้วยกระดาษ ถ้วยอลูมิเนียม ไม้พายยาว ถ้วย ช้อนแกง ตะแกรงร่อน
แป้ง

ส่วนผสม
 แป้งสาลีตราบัวแดง 800 กรัม ผงฟู 4 ช้อนชา น้ำตาลทรายขาว 700 กรัม S.P. (เอส.พี) 8
ช้อนชา น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง นมจืด 1 ถ้วยตวง ไข่ไก่ 4 ฟอง น้ำมะนาว 6 ช้อน วานิลลา1 ช้อนชา สี
ผสมอาหาร
 

วีธีทำ
1. นำแป้งกับผงฟูคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วนำไปร่อนด้วยตะแกรงเสร็จแล้วนำไปตากแดดทิ้งไว้
2. นำน้ำสะอาดใส่กะละมัง เติม S.P. ลงไป จากนั้นใช้เครื่องตีไข่ ตีให้ S.P. ละลายกับน ้า เติม
น้ำตาลทราย นมจืดและไข่ไก่ ใช้เครื่องตีอย่างต่ำ 20 นาทีขึ้นไป ให้ขึ้นฟูเป็นเนื้อครีม จากนั้นเติมน้ำ
มะนาว วานิลลา และตีต่อให้ส่วนผสมเข้ากัน
3. นำแป้งที่ตากแดด มาใส่ลงในส่วนผสมที่ตีไว้กวนด้วยไม้พายบางให้เป็นเนื้อเดียวกัน
ทั้งหมด หากอยากให้ขนมเป็นสีขาวก็ไม่ต้องเติมสีแต่ถ้าจะให้เป็นหลายสีก็แบ่งใส่ถ้วยแล้วใส่สีผสม
อาหารลงไปเล็กน้อย
4. เตรียมถาดอลูมิเนียมพร้อมกับนำถ้วยกระดาษใส่ลงในถ้วยอลูมิเนียมจากนั้นนำแป้งที่
เตรียมไว้มาหยอดใส่ถ้วยขนม โดยใช้ช้อนแกงตักหยอดให้เต็มถ้วยขนมปุยฝ้าย (ต่อ)
5. นำขนมวางเรียงบนลังถึงให้เต็ม ยกขึ้นตั้งบนน้ำเดือด นึ่งนานสัก 5 นาที ก็ยกลง ถอดถ้วย
อลูมิเนียมออกจากถ้วยขนม ทิ้งไว้ให้เย็นบรรจุถุงขาย

ข้อแนะนำ
1. เวลาตีแป้งต้องตีไปทางเดียวกัน ห้ามตีย้อนไปย้อนมาเพราะส่วนผสมจะละเอียดไม่
เท่ากัน และต้องตีด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอกัน
2. เวลานึ่งต้องให้น้ำเดือดจัด และนึ่งครั้งต่อไปต้องเช็ดไอน้ำที่เกาะอยู่ในฝาลังถึงก่อนปิดฝา
ทุกครั้ง ไม่อย่างนั้น ไอน้ำจะหยดลงใส่ขนมทำให้ขนมไม่สวย และเป็นก้อนแป้งแข็ง
3. หากต้องการให้ขนมมีสีสันสวยงามแปลกตาก็ให้หยอดถ้วยละ 2 สี

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ มัมมี่

 

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ มัมมี่

มัมมี่คือศพที่ไม่เน่าเปื่อย มัมมี่ธรรมชาติเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ ทางธรรมชาติ เช่น การแช่แข็ง การตากแห้ง หรือการแช่น้ำ ส่วนมัมมีเทียมคือมัมมี่่ที่มนุษย์ตั้งใจทําขึ้นโดยใช้วิธีการต่างๆ เพื่อรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อย มัมมี่เทียมซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ มัมมี่ที่ทําขึ้นในอียิปต์โบราณ เมื่อนานมาแล้ว นักเดินทางจากเปอร์เซีย (ปัจจุบันคืออิหร่าน) คิดว่าสารเหนียว ๆ สีดําที่เรียกว่าบิกิวเมนคือวัตถุดิบ ที่ใช้ทํามัมมีอียิปต์ ภาษาเปอร์เซียของคําว่าบิกิวเมนคือมัมเมีย ซึ่งเป็นที่มาของคําว่า “มัมมี" ในภาษาอังกฤษ

มัมมี่เทียมยุคแรกเกิดขึ้นเมื่อ 7,000 ปีมาแล้ว โดยชาวซินชอร์โร แห่งทวีปอเมริกาใต้ ชนกลุ่มนี้ได้ชื่อ ตามสถานที่แห่งหนึ่งในประเทศชิลี ณ ที่แห่งนั้น นักวิทยาศาสตร์ได้พบ ร่องรอยการดําเนินชีวิตของชาวชินชอร์โร พวกเขาเป็นชาวประมงที่อยู่รวมกันเป็น ชุมชนเล็กๆ ริมชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก

เชื่อกันว่า ชาวซินซอร์โรทํามัมมีขึ้นเพราะ เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย พวกเขาพยายาม ทําให้มัมมี่ดูเหมือนมีชีวิตมากที่สุด ซึ่งแสดงให้ เห็นว่าพวกเขาไม่ต้องการให้ร่างกายของคนผู้นั้น เน่าเปื่อย บางทีคนกลุ่มนี้อาจเชื่อว่าคนตาย จะฟื้นคืนชีวิตขึ้นได้หากศพได้รับการรักษาไว้

ในการทํามัมมี่ ชาวซินซอร์โรจะนํา อวัยวะภายในทั้งหมดออกจากศพเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเลาะเนื้อและหนังออกจากกระดูก ปล่อยทิ้งไว้จนแห้ง แล้วจึงใช้ไม้เล็กๆ ผูกติด กับแขน ขา และกระดูกสันหลัง เพื่อยึด กระดูกส่วนต่างๆ ไว้ด้วยกัน จากนั้นจึงนําโคลน สีขาวมาพอกบนโครงกระดูกเพื่อทําให้เป็นรูปเป็นร่าง นําผิวหนังบริเวณใบหน้ากลับไปปะไว้ที่เดิม เช่นเดียวกับหนังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เมื่อโคลนแห้งแล้ว จึงทาด้วยสีดําหรือแดง


มัมมีมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุด ของยุโรปรู้จักกันในชื่อมนุษย์น้ำแข็ง เขาเสียชีวิตเมื่อประมาณ 5,300 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงปลายยุคหิน นักปีนเขา พบร่างของเขานอนคว่ำหน้าอยู่บน ธารน้ำแข็งบริเวณตอนเหนือ ของอิตาลีเมื่อปี 1991

น้ำแข็งช่วยรักษาเสื้อผ้าของมัมมี่ ด้วยเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ ได้เห็นการแต่งกายของมนุษย์ยุคหิน มนุษย์น้ำแข็งสวมเครื่องห่อหุ้มขาและรองเท้า ทําจากหนังสัตว์ สวมเสื้อคลุมหนังแพะ หมวกหนังหมี และผ้าคลุมทําด้วยหญ้าถัก สิ่งเหล่านี้ช่วยให้มนุษย์น้ำแข็งอบอุ่น ท่ามกลางอากาศอันเหน็บหนาว


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ มัมมี่


เรื่องน่ารู้ของญี่ปุ่น

เรื่องน่ารู้ของญี่ปุ่น


เรื่องน่ารู้ของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นประกอบด้วยเกาะนับพันเกาะ เรียงกันเป็นแนวยาวอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกของเอเชีย มีพื้นที่ทั้งหมด   377,727 ตารางกิโลเมตร มีกรุงโตเกียวเป็นเมืองหลวง ประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุดก็คือ รัสเซีย เกาหลี และ จีน แม้ว่ารัสเซียจะเข้ายึดครองเกาะคริลมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2488 แต่ญี่ปุ่นก็ได้เรียกร้องสิทธิกลับคืนมาได้สำเร็จ ประเทศญี่ปุ่นอยู่ห่างจากเกาหลีเป็นระยะทาง 200 กิโลเมตรและอยู่ห่างจากจีน 750 กิโลเมตร

กิโมโน (Kimono) ของชาวญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมจะเป็นเสื้อผ้าแบบด้านเดียวในอดีตกิโมโนที่ใส่ประจำทุกวันจะทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าลินิน ปัจจุบันกิโมโนที่ใส่ในโอกาสพิเศษต่างๆ จะทำจากผ้าไหมแล้วตกแต่งด้วยการย่อมหรือปักลวดลายให้สวยงาม ผู้หญิงวัยรุ่นมักสวมกิโมโนที่มีสีสดใสและมีลวดลายใหญ่ ส่วนหญิงมีอายุจะใส่สีเข้มและมีลวดลายเล็ก ๆ แขนเสื้อยาวใช้แทนกระเป๋า ในขณะทำงานบ้านแม่บ้านจะผูกแขนเสื้อนี้ไว้ข้างหลังปัจจุบันชาวญี่ปุ่นมักจะใส่กิโมโนเฉพาะในโอกาศพิเศษเช่นงานแต่งงานหรือในวันปีใหม่เท่านั้น

ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่ 2 คนญี่ปุ่นทั้งประเทศต่างพากันชูมือร้องตะโกนนโยบาย “ เศรษฐกิจรุ่งเรืองกองกำลังทหารเข้มแข็ง” แต่หลังจากการยอมรับความปราชัยในสงครามเสียงพร่าร้องเหลือเพียง“ เศรษฐกิจรุ่งเรือง”  ไม่มี “ กองกำลังทหารเข้มแข็ง” อีกต่อไป ในปัจจุบันคนญี่ปุ่นครึ่งประเทศคิดว่าตนมีฐานะเหนือกว่าคนยุโรปหรือพวกฝรั่ง และในชีวิตไม่หวังที่จะเป็นเศรษฐี หากหวังว่า ชีวิตจะสามารถทำตามใจตนเองได้เสียทีโดยไม่ถูกรัฐ สังคม ครอบครัว กดดัน

เทศกาลที่สำคัญที่สุดของชาวญี่ปุ่นคือ เทศกาลปีใหม่ ในวันปีใหม่ครอบครัวส่วนใหญ่ไปไหว้พระที่ศาลเจ้าเพื่อขอพรให้มีสุขภาพแข็งแรง และเพื่อเป็นสิริมงคลในปีที่กำลังจะมาถึง อาหารสำหรับฉลองในวันปีใหม่จะจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าเพื่อที่คนทำจะได้สามารถร่วมฉลองด้วย ผู้คนจะเริ่มส่งการ์ดอวยพรปีใหม่กันตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม แต่ทางไปรษณีย์จะเก็บเอาไว้และจัดส่งถึงมือผู้รับในวันปีใหม่พอดีโดยกลุ่มนักเรียนที่มารับจ้างทำงานพิเศษ